บทนำ
ในวันที่แสงแดดทอแสงอ่อนๆมายังผืนแผ่นดิน สายลมที่พัดผ่าน ปัดเป่าไอร้อนจากแสงแดดหนีไป ณ เมืองเล็กๆซึ่งมีนามว่า เรเวน ที่ล้อมรอบไปด้วยทุ่งหญ้าโล่งกว้าง ที่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่ประปราย เบื้องหน้าประตูเมืองที่ทำจากหินอ่อนอย่างปราณีต.... ทหารยามสองนายกำลังยืนทำหน้านิ่วคิ้วขมวดมองร่างงหนึ่งที่ขดตัวกลมนอนหลับอย่างสงบสุข ร่างนั้นเป็นร่างของเด็กหนุ่มอายุอานามราวๆสิบสามสิบสี่ปีเห็นจะได้ ทั้งสองมองร่างนั้้น สลับกับมองหน้ากันไปมาสักพัก สุดท้ายทหารนายหนึ่งก็ตัดสินใจย่อตัวลงไปเขย่าปลุกร่างที่กำลังนอนหลับสบายใจนั้นเบาๆ
"นี่ เจ้าหนู เจ้าหนู ตื่นได้แล้วนะ เฮ้ย... ตื่นได้แล้ว นี่มันเช้าแล้วนะ..." หลังจากที่ทั้งเรียกทั้งเขย่าไปได้สักพักหนึ่งร่างนั้นก็เริ่มเกิดการตอบสนอง เขาขยับร่างให้ลุกขึ้นนั่งในท่าพับเพียบพร้อมกับลืมตาขึ้นมาด้วยอาการสะลึมสะลือก่อนจะขยี้ตาเบาๆ แล้วลืมตาขึ้น... และจ้องตากับทหารยามผู้ที่เป็นคนปลุกเขาขึ้นมาด้วยท่าทีเหมือนกับช็อคไปชั่วครู่ ก่อนที่เขาจะหลับตาลงส่ายหน้าเบาๆสองสามครั้ง และลืมตาขึ้นมา.... ด้วยอาการช็อคไม่ต่างจากเดิม สุดท้ายเขาจึงเอามือทั้งสองข้างตีป้าบเข้าที่แก้มตัวเองอย่างแรงจนแก้มทั้งสองข้างมีรอยแดงจางๆ ฝ่ายทหารยามทั้งสองก็มองเหตุการณ์แล้วพากันทำหน้าไม่ถูกไปยกใหญ่ แล้วจึงมองหน้ากันด้วยความลำบากใจ ก่อนที่ทหารยามที่เป็นคนเอ่ยปลุกเด็กหนุ่มจะพูดกับเด็กหนุ่มด้วยความเป็นห่วงว่า
"อ่า...... เจ้าหนู.... ไหวรึเปล่า? ถ้ายังไงให้ข้าไปตาม..."
"เอ่อ...... อ่ะ ไม่ๆๆๆๆ ไม่ต้องๆ ข้าไม่เป็นไร ว่าแต่...... ท่านเป็นใครน่ะ? แล้ว..... ท่านแม่ข้าล่ะ?" เด็กหนุ่มถามด้วยความงุนงง ก่อนที่ทหารยามอีกคนที่ยืนอยู่ข้างหลังทหารยามที่เอ่ยปลุกเขาจะเป็นคนตอบขึ้นมาว่า
"ถ้าเจ้าหมายถึงผู้หญิงสวมผ้าคลุมสีดำที่พาเจ้ามาล่ะก็ นางกลับไปตั้งนานแล้วล่ะ แล้วนางก็ฝากเจ้าไว้กับพวกข้าเนี่ย แถมยังบอกว่าให้เจ้าลงแข่งขันคัดเลือกอัศวินราชองค์รักษ์ประจำตัวองค์หญิงอัลลูเซียน่า เดล เรเนวา ของเมืองพวกข้าด้วย"
"หะ...." เด็กหนุ่มช็อคจนพูดไม่ออก ได้แต่นั่งอ้าปากค้างกระพริบตาปริบๆ เขารู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองเริ่มจะจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกคือ ไม่รู้กระทั่งต้นด้วยซ้ำ จะมาจับต้นชนปลายได้ยังไงกันเล่า เด็กหนุ่มคิดในใจ แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป
"เออ จริงสิ แม่ขของเจ้าฝากนี่ไว้ให้เจ้าด้วย" ทหารยามผู้อธิบายสถานการณ์เอื้อมมือไปหยิบของบางสิ่งที่วางพิงกำแพงประตูเมืองเอาไว้ และนั่นส่งผลให้เด็กหนุ่มแทบจะกรีดร้องออกมาด้วยความหวาดหวั่น แต่กระนั้นสภาพเด็กหนุ่มตอนนี้ก็ไม่ได้สู้ดีเท่าไหร่นัก เนื่องจากอยู่ในสภาพที่ขยับถอยหนีออกจากที่เดิมไปไกลโข หยาดเหงื่อแตกพราวอยู่ทั่วทั้งใบหน้าและบางทีอาจจะรวมไปถึงทั้งตัว ใบหน้าซีดราวกับไก่ต้ม ตัวสั่นงันงกเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับความหนาวเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจ ทหารยามผู้เป็นคนปลุกเด็กหนุ่มในตอนแรกได้แต่นั่งยองๆมองดูปฏิกิริยานั้นเงียบๆ ส่วนทหารยามผู้จุดชนวนก็เดินถือของสิ่งนั้นมาด้วยรอยยิ้ม.... สิ่งที่อยู่ในมือของทหารยามผู้นั้นก็คือดาบเล่มหนึ่งซึ่งเสียบอยู่ในฝักทำจากหนังหยาบสีน้ำตาลอ่อน มันเป็นดาบเล่มที่ไม่ใหญ่นักหากเทียบกับขนาดตัวของผู้ใหญ่ แต่สำหรับเด็กหนุ่มตรงหน้าเมื่อเทียบกับดาบนี้ ออกจะใหญ่เกินตัวไปสักนิด จนน่าเป็นห่วงว่าตอนที่ใช่จริงจะยกดาบไหวรึเปล่า
'แต่ดูท่าว่าปัญหาคงจะไม่ได้อยู่ตรงนั้นกระมัง....' ทหารยามผู้นั่งมองเหตุการณ์มาโดยตลอด มองเด็กหนุ่มด้วยใบหน้านิ่งเฉย ในขณะที่เพื่อนทหารยามของตนกำลงยื่นดาบเล่มที่ถูกฝากไว้ให้แก่เด็กหนุ่มด้วยรอยยิ้ม
"เอ้า รับไปเสียสิ เจ้าหนู นี่น่ะเป็นดาบดีนะ ข้าว่าแม่เจ้าคงจะค่อนข้างตาถึงเลยทีเดียวล่ะ" แต่ถึงกระนั้น.. จนเขาพูดจบดาบก็ยังอยู่ในมือของทหารยามผู้นั้นเช่นเดิม.... แล้วผ่านไปอีกราวๆสิบนาทีมันก็ยังอยู่เช่นนั้น จนทหารยามสงสัย จึงมองดูเด็กหนุ่มตรงหน้า จึงได้เห็นอาการเด็กหนุ่มตรงหน้า จึงได้เรียกเด็กหนุ่มเบาๆ
"อ่า..... เจ้าหนู?"
"อ่ะ ข.... ขอรับ.... ท.... ท.... ท่านแม่.......... อ่า............. ฝากไอ้นี่................. ไว้ให้ข้าสินะขอรับ ช...... เช่นนั้น....... ข้าก็ขอ..... เอ่อ................. รับไว้......... แล้วกัน........... นะขอรับ อ่ะ ฮะๆ อ่ะ ฮะๆๆๆ" เด็กหนุ่มรีบลุกขึ้นแล้วยื่นสองแขนออกมารับดาบไปกอดไว้แทบจะทันที แต่หลังจากที่รับไปแล้วดันมีอาการสั่นกึกๆยิ่งกว่าเดิมฝ่าบทหารยามทั้้งสองก็ได้แต่มองดูแบบไม่รู้จะว่ายังไงดี และสุดท้ายก็ปล่อยให้อาการแปลกๆของเด็กหนุ่มเป็นแค่เรื่องอะไรที่ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ ก่อนจะพากันลุกขึ้นแลัวหันมาเร่งเด็กหนุ่มที่กำลังนั่งตัวสั่น กอดดาบเอาไว้แนบอกด้วยใบหน้าราวกับจะร้องไห้
"เอ้า ถ้าเช่นนั้นก็ลุกขึ้นได้แล้ว การประลองจะเริ่มแล้วนะพ่อหนุ่ม"
"ข..... ขอรับ......." เด็กหนุ่มลุกขึ้นอย่างยากลำบาก แทบทำท่าจะลุกทั้งยืนอยู่เป็นระยะๆราวกับคนไม่มีเรี่ยวแรง แต่ทหารยามทั้งสองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร แล้วพาเด็กหนุ่มเดินผ่านซุ้มประตูเมืองที่ทำจากหินอ่อนเข้าไปในเมือง สิ่งแรกที่เข้ามาสู่สายตาก็คือย่านการค้าที่มีผู้คนชุกชุม เด็กหนุ่มพยายามหายใจเข้าออกอย่างช้าๆเพื่อสงบสติอารมณ์ และพยายามที่จะมองตรงไปข้างหน้าโดยที่ไม่สนใจสิ่งที่ตนกอดไว้ แต่กระนั้นก็ยังคงมีอาการสั่นน้อยๆด้วยความหวาดกลัวอยู่ดี...
'ให้ตายเถอะ... จะปอดแหกไปถึงไหนกันตัวข้า...' เด็กหนุ่มคิดในใจด้วยความหงุดหงิดเพื่อขับไล่ความกลัว ซึ่งนั่นก็ช่วยได้มากทีเดียว ใบหน้าที่ซีดเซียวด้วยความกลัวเมื่อครู่ก็เริ่มดูมีเลือดลมไหลผ่านแล้วนิดหน่อย เมื่อสงบสติอารมณ์ได้ เขาก็สังเกตเห็นว่าระยะห่างระหว่างเหล่าทหารยามกับเขาเริ่มที่จะห่างกันมากเกินไปแล้ว จึงเปลี่ยนจากเดินเป็นวิ่งตามไปจนอยู่ในระยะที่ห่างจากทหารยามตรงหน้าราวๆหนึ่งช่วงแขน เขาจึงชะลอฝีเท้ากลับมาเดินตามเหมือนเมื่อตอนแรกที่ตามมาอีกครั้ง
เมื่อเดินตามไปสักพัก รอบข้าที่มีผู้คนชุกชุม ก็เริ่มมีคนบางตาลงไปมาก บ้านเรือนทำจากไม้ที่ตั้งอยู่เรียงรายก็เริ่มน้อยลงจนไม่เหลือ และเบื้องหน้านั้น.... ก็มีกำแพงหินขนาดมหึมา และประตูไม้แบบคู่บานใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า
"เอาล่ะ เจ้าหนู ที่นี่คือพระราชวังของกษัตริย์เมืองเรา แล้วก็เป็นสถานที่แข่งคัดเลือกอัศวินราชองครักษ์ด้วย พวกข้าคงมาส่งเจ้าได้ถึงแค่ตรงนี้ล่ะ นอกนั้นก็พยายามเข้าแล้วกัน" ทหารยามทั้งสองยิ้มให้เขาก่อนที่จะพากันเดินกลับไปยังประตูเมือง ทิ้งให้เด็กหนุ่มที่มองตามพวกเขาไป เมื่อร่างของทหารยามทั้งสองหายลับไปจากสายตา เด็กหนุ่มก็หันกลับไปมองบานประตูใหญ่ยักษ์เบื้องหน้า...
"......." เขาจ้องมองมันอยู่นาน แล้วในที่สุดก็วางมือทั้งสองลงบนประตูไม้บานยักษ์ แล้วออกแรงผลักให้ประตูเบื้องหน้าเปิดออก และก่อนจะก้าวเข้าไปในบริเวณพระราชวัง
แอ้ด...
ตึง
เสียงบานประตูหนาหนักเปิดขึ้น เบื้องหน้าของเขามีปราสาทขนาดมหึมาที่สร้างขึ้นมาจากหินบางอย่างที่เด็กหนุ่มไม่รู้จัก และก้อนหินส่วนที่เป็นกรอบประตูทางเข้าก็ถูกสลักอย่างงดงามเป็นลวดลายคล้ายต้นเถาวัลย์เกาะอยู่รอบๆกรอบประตู เด็กหนุ่มสาวเท้าเขาไปใกล้ พร้อมกับผลักบานประตูหนาหนักเข้าไปอีกครั้ง...
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น